Save Blue Heart

น้องไทเจียมเป็นเด็กชาวเขาเผ่าเย้า อาศัยอยู่ในประเทศลาว ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทย เป็นเด็กผิวค่อนข้างขาว อารมณ์ดี ยิ้มง่าย รูปร่างผอมเนื่องจากกินนมไม่ค่อยได้เพราะมีการอาการเหนื่อยหอบตลอด ครอบครัวมีฐานะยากจน พ่อมีอาชีพรับจ้างทั่วไป มีรายได้ตกวันละ 50-70 บาท ซึ่งจะต้องเลี้ยงดูครบครัวทั้ง 6 ชีวิต ประกอบด้วย ปู่ ย่า ตัวเอง ภรรยา ลูกสาวคนโตและน้องไทเจียม ชีวิตค่อนข้างลำบาก

คุณพ่อของน้องไทเจียมเล่าว่า ตนเองมีลูก 2 คน ลูกสาวคนโตก็เป็นเด็กปกติดี ส่วนน้องไทเจียมเป็นลูกชายคนเล็ก ป่วยเป็นโรคหัวใจห้องล่างมีรูรั่ว (VSD) พอน้องเกิดมาแรกๆ ก็ปกติดี แต่ก็สังเกตว่าน้องจะเหนื่อยง่าย ดูดนมไม่ค่อยได้มาก จึงตัวผอม พอลูกอายุได้ประมาณ 5 เดือน น้องเป็นหวัด มีอาการหายใจหอบ แต่ก็ไม่ได้พาลูกไปโรงพยาบาล เพราะไม่มีเงินก็รักษากันไปตามพื้นบ้านทั่วไป จนเห็นว่าลูกอาการหนักมากขึ้น จึงตัดสินใจพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลเชียงแสน ซึ่งเขาก็รักษาไปตามอาการ อยู่โรงพยาบาลประมาณ 1-2 สัปดาห์ คุณหมอก็ให้กลับบ้านได้ พร้อมกับให้ยาไปทานต่อที่บ้าน ก็คิดว่ากินยาหมดลูกก็คงจะหายดี แต่พอกลับไปอยู่บ้านได้ 2 วัน ลูกก็ไม่สบายมากขึ้น ก็เลยต้องพากลับมาที่โรงพยาบาลเชียงแสนอีก ซึ่งเขาก็ได้แต่รักษาไปตามอาการที่น้องเป็น จนทางโรงพยาบาลเชียงแสนว่าจะส่งตัวไปรักษาที่เชียงราย เขาก็มาถามว่าคุณพ่อจะไหวไหม ผมเห็นลูกอาการหนักมากขึ้น แต่ผมก็ไม่มีเงินสักบาท แต่เพื่อลูกก็ยอม จะทำอะไรก็ได้ ทางโรงพยาบาลเชียงแสนจึงได้ส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

พอทางถึงที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เขาก็พาลูกไปตรวจเลือด ทำ echo ดู จึงได้ทราบว่าน้องไทเจียมเป็นโรคหัวใจ ซึ่งถ้าหากจะรักษาให้หายขาดนั้นต้องทำการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว และก็ต้องส่งตัวไปทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาลอื่น เช่น ที่เชียงใหม่หรือที่กรุงเทพฯ เขาก็ถามว่าคุณพ่อจะสะดวกไหม ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดค่อนข้างแพง ตอนที่รู้ เคยคิดที่จะกระโดดตึกฆ่าตัวตายด้วย เพราะผมทำอะไรไม่ได้ เงินผมก็ไม่มี ไม่มีอะไรสักอย่าง มีแต่ตัว ชีวิตและลมหายใจเท่านั้น ผมก็จนปัญญา ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี ตัวผมก็มีลูกแค่ 2 คน ลูกสาวโตขึ้นก็แต่งงานออกไป มีแต่ลูกชายที่จะอยู่กับพ่อและแม่ แต่ลูกชายก็มาป่วยเป็นโรคนี้อีก จะทำอย่างไรให้เขาอยู่กับเรา ซึ่งถ้าอยากให้เขาอยู่ก็ต้องผ่าตัด แต่ก็ไม่มีปัญญา ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

แต่ทางคุณหมอเยาวลักษณ์ที่เชียงรายท่านก็พยายามหาทางช่วยเหลือทุกอย่าง ช่วยติดต่อทางมูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็กให้ ซึ่งพอทางมูลนิธิฯ รับลูกผมเข้าเป็นคนไข้ ผมรู้สึกดีใจมาก เหมือนมีปาฏิหาริย์มาช่วยลูกผมไว้ ช่วยทำให้พวกผมสามารถผ่านปัญหาที่ยิ่งใหญ่นี้ไปได้

ซึ่งก่อนจะได้เดินทางมาผ่าตัดในครั้งนี้ พวกผมก็ลำบากมากเนื่องจากทางบ้านฐานะก็ไม่ค่อยดี ต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำพาสปอร์ต กว่าจะขอได้ก็ใช้เวลานานประมาณ 2 เดือน แถมว่าเวลาเดินทางมาก็ลำบากเพราะผมเป็นชาวเขา ต้องเดินเท้าจากบ้านมาที่ถนนหลวงประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วจึงมารอขึ้นรถโดยสารมาท่าเรือฝั่งตรงข้ามกับเชียงแสน แล้วก็ต้องนั่งรอข้ามฟากมาเชียงแสน จากเชียงแสนก็ต่อรถทัวร์มาที่เชียงราย แล้วจึงขึ้นรถทัวร์มาที่กรุงเทพฯ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งถ้าจากบ้านมาถึงโรงพยาบาลที่เชียงรายก็ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมงแล้ว แต่เพื่อลูกลำบากอย่างไรผมก็ยอม และในการเดินทางมาผ่าตัดครั้งนี้ พวกผมก็ได้ขายไก่และหมูที่เลี้ยงไว้เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งผมหวังว่าเมื่อลูกผมหายดีแล้วกลับไป พวกเราก็จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กันได้อย่างมีความสุข

จากการที่ลูกผมได้มาทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ประชาชื่น กรุงเทพฯ เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2552 ผมรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งในน้ำใจของพี่น้องชาวไทยและมูลนิธิฯ มากที่ช่วยรักษาลูกผม ถึงแม้ว่าลูกผมจะไม่ใช่คนไทย บุญคุณในครั้งนี้ผมจะขอจดจำไปจนวันตาย ขออวยพรให้บุญกุศลที่คุณหมอ พยาบาลและผู้บริจาคของมูลนิธิฯได้ทำไว้ช่วยส่งให้ท่านมีแต่ความสุข ความเจริญตลอดไป