ชีวิตของหนู

           เดิมคุณแม่ทำงานประจำ แต่เมื่อทราบว่าน้องเป็นโรคหัวใจ คุณแม่จึงต้องลาออกจากงานเพื่อมาดูแลลูก รายได้หลักจึงมาจากคุณพ่อเพียงคนเดียว ครอบครัวมีฐานะปานกลาง ทราบว่าน้องเป็นโรคหัวใจ ตั้งแต่ตอนที่น้องยังอยู่ในท้องอายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน คือหัวใจน้องตีบ 1 ห้อง แต่คุณหมอให้รอดูอาการหลังจากน้องคลอดออกมาแล้วก่อนว่าจะเป็นอย่างไร พอน้องคลอดออกมาได้ 2 วัน ก็เริ่มมีอาการตัวเขียว ปากเขียว   เนื่องจากเส้นเลือดน้องเริ่มตีบ ซึ่งหากทิ้งไว้ต่อไปก็จะตัน ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงร่างกายได้ คุณหมอที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีได้แจ้งว่าน้องอาจจะอยู่ได้ไม่กี่วัน จะพากลับบ้านก็ได้หรือถ้าหากจะทำการผ่าตัดก็มีโอกาสรอดชีวิต 50: 50 ให้ทางคุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร ซึ่งตอนที่ฟังก็ใจสลายเลย แต่เนื่องจากว่าได้ทราบว่าน้องเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดตั้งแต่น้องอยู่ในท้อง จึงได้มีการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคหัวใจมาบ้าง จึงพอจะทราบว่าถ้าได้รับการผ่าตัดอย่างทันท่วงที น้องก็จะมีโอกาสหายได้ จึงตกลงที่จะทำการผ่าตัด

            แต่เนื่องจากว่าอาการน้องเริ่มไม่ดีตั้งแต่ตอนเย็นวันศุกร์ แต่ติดวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จึงต้องจนถึงรอวันจันทร์ตอนเช้า ทางโรงพยาบาลที่สุราษฎร์ธานีได้ทำ Echo ให้แล้วทำการส่งตัวน้องไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์   เมื่อมาถึงโรงพยาบาลก็ได้ทำการฉีดยาขยายหลอดเลือดและรอดูอาการก่อนก่อนว่าน้องพร้อมที่จะทำการผ่าตัดหรือไม่  รออยู่ 2-3 วันจึงได้ผ่าตัดทำบาสพาสต์ให้ตอนอายุได้เพียง 7 วัน พอน้องอาการดีขึ้นก็พาน้องกลับบ้าน แต่คุณหมอแจ้งว่าน้องจะยังไม่หายขาด จะต้องทำการผ่าตัดใหญ่อีก แต่รอให้น้องโตกว่านี้ แข็งแรงและน้ำหนักมากกว่านี้ก่อนจึงจะผ่าตัดอีกครั้งได้ ซึ่งคุณหมอก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเมื่อไร  ขึ้นอยู่กับอาการของน้องว่าเส้นเลือดจะตีบอีกเมื่อไร ทำได้แค่ติดตามดูอาการทุก 2 สัปดาห์อย่างสม่ำเสมอ

พอน้องอายุได้ 6-7 เดือนน้องก็มีอาการเส้นเลือดหัวใจเริ่มตีบ  เริ่มมีอาการเล็บมือ เล็บเท้าเขียว จึงได้ถูกส่งมาผ่าตัดกับมูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก ซึ่งก็ได้มาทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพฯ พอผ่าตัดเสร็จ คุณแม่ที่มาเฝ้าน้องก็ป่วยเป็นโรคอีสุกอีใส คุณหมอจึงไม่อนุญาตให้เฝ้าน้องเพราะกลัวว่าจะมาติดน้อง คุณแม่จึงต้องกลับไปรักษาตัวที่บ้านที่สุราษฎร์ธานี ส่วนน้องอาร์เต้ก็กลับเป็นลูกๆ ของพยาบาลในวอร์ดศัลยกรรมหัวใจไป ซึ่งพี่ๆ พยาบาลก็จะผลัดกันเลี้ยงน้องไปด้วยทำงานไปด้วย บางครั้งพยาบาลก็เอาน้องใส่รถเข็นแล้วเข็นไปทำงานตามเตียงคนไข้ต่างๆ ด้วยกัน แต่น้องอาร์เต้เป็นเด็กขี้อ้อน ชอบให้คนอุ้มตลอด บางครั้งพยาบาลก็จะอุ้มน้องมือหนึ่งและทำงานไปด้วย

น้องต้องอยู่โรงพยาบาลประมาณ 1 เดือนจึงได้กลับบ้าน ซึ่งทางคุณหมอได้แจ้งว่าน้องจะต้องทำการผ่าตัดใหญ่อีกครั้งหนึ่ง น้องจึงจะหายขาดและสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนปกติ  แต่น้องรอให้น้องโต แข็งแรงกว่านี้ก่อน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็หวังว่าคงจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกครั้งเพื่อช่วยให้น้องอาร์เต้สามารถผ่านการผ่าตัดใหญ่ไปได้และสามารถใช้ชีวิตเป็นเด็กปกติเหมือนเด็กทั่วไปได้