ชีวิตของหนู

น้องนัฐชานนท์ชเป็นบุตรของคุณพ่อกิตจา จิตสาครและคุณแม่พิมล  งามละม้าย โดยเริ่มแรกคุณพ่อทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ในฟาร์มเลี้ยงหมูที่จังหวัดสิงห์บุรี มีรายได้เดือนละประมาณ 5,000 บาท ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์น้องแล้วแต่ไม่ทราบว่าตนเองตั้งครรภ์จนกระทั่งท้องได้ 6 เดือนถึงได้ทราบ ซึ่งพอทราบว่าท้องน้องนัฐชานนท์ คุณพ่อได้พาคุณแม่ไปฝากท้องที่โรงพยาบาลบ่อไร่ จังหวัดตราดเนื่องจากคุณพ่อเป็นคนจังหวัดตราด  แต่ก่อนที่น้องจะเกิดคุณแม่ได้ย้ายกลับมาอยู่บ้านเดิมของคุณแม่ที่จังหวัดสิงห์บุรี และได้ผ่าคลอดน้องนัฐชานนท์ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี  แรกคลอดคุณหมอก็ตรวจว่าน้องปกติดี แต่พอพาน้องกลับมาอยู่ที่บ้านได้ประมาณ 2 เดือน  น้องไม่สบาย มีอาการหายใจดังครืดคราด คุณแม่จึงได้พาไปตรวจที่โรงพยาบาลพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งหลังจากที่คุณหมอได้ตรวจน้องก็สงสัยว่าน้องจะเป็นโรคหัวใจ แต่เนื่องจากว่าทางโรงพยาบาลไม่มีแพทย์ทางด้านโรคหัวใจเด็ก  จึงได้ทำเรื่องส่งตัวน้องให้เข้ามารักษาต่อที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี และเมื่อคุณหมอของทางโรงพยาบาลสิงห์บุรีตรวจพบว่าน้องนัฐชานนท์เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจึงได้ทำเรื่องส่งตัวน้องเข้ามารับการรักษาตัวต่อที่สถาบันส่งเสริมสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีหรือโรงพยาบาลเด็ก 

  ซึ่งคุณหมอที่โรงพยาบาลเด็กได้นัดตรวจร่างกายอยู่ประมาณ 6-7 เดือน ก็ได้รับการส่งตัวมาผ่าตัดรักษาโรงคหัวใจพิการแต่กำเนินที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2558  โดยน้องนัฐชานนท์ได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็กในเรื่องค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด เนื่องจากปัจจุบันน้องอาศัยอยู่กับคุณแม่และคุณตาคุณยายและคุณน้าสาว ซึ่งคุณตาคุณยายก็มีอาชีพรับจ้างทั่วไป มีรายได้ไม่แน่นอน รายได้หลักของครอบครัวส่วนใหญ่มาจากคุณแม่และคุณน้าแต่ก็มีรายได้ไม่มากนัก แถมบ้านอยู่ไกล บ้านน้องอยู่ที่หมู่บ้านพระฤทัย ตำบลโรงช้าง อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงบุรี ซึ่งในหมู่บ้านไม่มีรถโดยสารผ่าน เวลาจะพาน้องมาหาหมอก็จะต้องจ้างรถของคนข้างบ้านให้มาส่งที่บขส.สิงห์บุรี แล้วนั่งรถตู้โดยสารมาลงที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะลำบากในการเดินทางออกจากบ้านมาเยี่ยมน้องที่โรงพยาบาล รวมทั้งมีครอบครัวมีรายได้ไม่แน่นอน ทำให้ช่วงที่น้องต้องมานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถีนั้น  คุณแม่ก็จะมาเยี่ยมได้อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้น เพราะติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย แถมเวลามาแต่ละครั้งก็ต้องไปหยิบยืมคนรู้จักมาก่อน พอเงินเดือนออกก็ต้องรีบเอาไปใช้คืน

หลังผ่าตัด น้องมีอาการดีขึ้น เหนื่อยน้อยลง ทานนมได้มากขึ้น คุณแม่รู้สึกดีใจมากที่ลูกได้รับการผ่าตัด  จะได้หายจากโรคร้ายสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กปกติคนอื่น จึงอยากขอบพระคุณมูลนิธิฯ และผู้บริจาคที่ช่วยเหลือค่าผ่าตัดของน้อง มา ณ.โอกาสนี้ด้วย